สุนัขไม่ควรกินอะไร: คู่มืออาหารต้องห้ามสำหรับเจ้าตูบ

สุนัขเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารักและซื่อสัตย์ หลาย ๆ คนจึงชอบให้รางวัลพวกมันด้วยอาหารมนุษย์ แต่รู้หรือไม่ว่า อาหารบางชนิดที่เรากินนั้น เป็นอันตรายต่อสุนัข

บทความนี้จะช่วยคุณเรียนรู้เกี่ยวกับ อาหารต้องห้ามสำหรับสุนัข เพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันได้รับอันตรายจากการกินอาหารที่ไม่เหมาะสม

1. ช็อกโกแลต

ช็อกโกแลตเป็นอาหารอันดับต้น ๆ ที่ ห้ามให้สุนัขกิน ช็อกโกแลตมีสาร Theobromine ที่เป็นพิษต่อสุนัข สารนี้สามารถทำให้สุนัขมีอาการอาเจียน ท้องเสีย อุณหภูมิร่างกายสูง ชัก หัวใจเต้นเร็ว และอาจเสียชีวิตได้

ปริมาณช็อกโกแลตที่เป็นอันตรายต่อสุนัข:

  • ช็อกโกแลตดำ: 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
  • ช็อกโกแลตนม: 2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
  • ช็อกโกแลตขาว: 4 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม

ตัวอย่าง: สุนัขน้ำหนัก 10 กิโลกรัม กินช็อกโกแลตดำ 10 กรัม (ประมาณ 1 แท่ง) อาจเสียชีวิตได้

2. องุ่นและลูกเกด

องุ่นและลูกเกดเป็นอันตรายต่อสุนัข สารที่ทำให้เกิดพิษในองุ่นและลูกเกดยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่การกินองุ่นและลูกเกดอาจทำให้สุนัขไตวาย

ปริมาณองุ่นและลูกเกดที่เป็นอันตรายต่อสุนัข:

  • องุ่น: 1-3 ผลต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
  • ลูกเกด: 1-2 ผลต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม

ตัวอย่าง: สุนัขน้ำหนัก 10 กิโลกรัม กินองุ่น 10 ผล อาจเกิดไตวาย

3. ถั่วแมคคาเดเมีย

ถั่วแมคคาเดเมียเป็นอันตรายต่อสุนัข สารที่ทำให้เกิดพิษในถั่วแมคคาเดเมียยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่การกินถั่วแมคคาเดเมียอาจทำให้สุนัขมีอาการอาเจียน ท้องเสีย อ่อนแรง กล้ามเนื้อสั่นกระตุก อุณหภูมิร่างกายสูง และอาจเสียชีวิตได้

ปริมาณถั่วแมคคาเดเมียที่เป็นอันตรายต่อสุนัข:

  • ถั่วแมคคาเดเมีย: 1-2 เมล็ดต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม

ตัวอย่าง: สุนัขน้ำหนัก 10 กิโลกรัม กินถั่วแมคคาเดเมีย 2 เมล็ด อาจเกิดอาการพิษ

4. หัวหอมและกระเทียม

หัวหอมและกระเทียมมีสาร Thiosulphate ที่เป็นอันตรายต่อสุนัข สารนี้สามารถทำให้สุนัขเลือดจาง

ปริมาณหัวหอมและกระเทียมที่เป็นอันตรายต่อสุนัข:

  • หัวหอม: 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
  • กระเทียม: 5 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม

ตัวอย่าง: สุนัขน้ำหนัก 10 กิโลกรัม กินหัวหอม 100 กรัม อาจเกิดภาวะเลือดจาง

5. อะโวคาโด

อะโวคาโดมีสาร Persin ที่เป็นอันตรายต่อสุนัข สารนี้สามารถทำให้สุนัขมีอาการอาเจียน ท้องเสีย อ่อนแรง

ปริมาณอะโวคาโดที่เป็นอันตรายต่อสุนัข:

  • อะโวคาโด: 1-2 ชิ้น

ตัวอย่าง: สุนัขน้ำหนัก 10 กิโลกรัม กินอะโวคาโด 1 ชิ้น อาจเกิดอาการอาเจียน

ขับถ่ายวันละกี่ครั้งจะดี


ขับถ่ายวันละกี่ครั้งจะดี

การขับถ่าย เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องทำ โดยปกติแล้ว คนเราควรขับถ่ายอุจจาระ วันละ 1-3 ครั้ง แต่จำนวนครั้งที่ขับถ่าย อาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น

  • อาหารที่ทาน: อาหารที่มีใยอาหารสูง จะช่วยเพิ่มจำนวนการขับถ่าย
  • ปริมาณน้ำที่ดื่ม: การดื่มน้ำน้อย จะทำให้ท้องผูก
  • การออกกำลังกาย: การออกกำลังกาย ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร
  • ยาบางชนิด: ยาบางชนิด อาจส่งผลต่อระบบขับถ่าย
  • ความเครียด: ความเครียด อาจส่งผลต่อระบบย่อยอาหาร

การขับถ่ายที่ดี ควรมีลักษณะดังนี้

  • อุจจาระมีสีเหลืองหรือน้ำตาลอ่อน
  • อุจจาระมีลักษณะนิ่ม ไม่แข็งหรือเหลว
  • ขับถ่ายได้ง่าย ไม่ต้องเบ่ง
  • ไม่มีอาการปวดท้อง
  • ไม่มีกลิ่นเหม็นมาก

หากมีการขับถ่ายผิดปกติ เช่น

  • ขับถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
  • ขับถ่ายมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน
  • อุจจาระมีสีดำ แดง หรือขาว
  • อุจจาระมีลักษณะแข็ง เป็นก้อน
  • อุจจาระมีลักษณะเหลว เป็นน้ำ
  • ขับถ่ายยาก ต้องเบ่ง
  • มีอาการปวดท้อง
  • มีกลิ่นเหม็นมาก

ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ

วิธีการดูแลสุขภาพ เพื่อให้มีการขับถ่ายที่ดี

  • ทานอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ วันละ 8 แก้ว
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • จัดการความเครียด

การขับถ่ายที่ดี เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงสุขภาพที่ดี ดังนั้น เราควรดูแลสุขภาพ เพื่อให้มีการขับถ่ายที่ดี และมีสุขภาพที่แข็งแรง

นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขับถ่าย ดังนี้

  • ควรขับถ่ายเป็นเวลา เช่น หลังตื่นนอน หรือหลังทานอาหาร
  • ควรอยู่ในท่าที่สบาย เช่น นั่งยองๆ
  • ไม่ควรอ่านหนังสือหรือเล่นโทรศัพท์มือถือ ขณะขับถ่าย
  • ไม่ควรกลั้นอุจจาระ

การขับถ่ายที่ดี ส่งผลดีต่อสุขภาพ ช่วยให้รู้สึกสบายตัว และช่วยป้องกันโรคต่างๆ ดังนั้น เราควรดูแลสุขภาพ เพื่อให้มีการขับถ่ายที่ดี และมีสุขภาพที่แข็งแรง

โรคเท้าเปื่อยที่มากับน้ำท่วม

โรคเท้าเปื่อยที่มากับน้ำท่วม


โรคเท้าเปื่อยที่มากับน้ำท่วม

ในช่วงฤดูฝนหรือเมื่อเกิดน้ำท่วม โรคเท้าเปื่อยมักจะเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย เนื่องจากสภาพอากาศที่ชื้นและน้ำที่สกปรก ทำให้เกิดเชื้อโรคและแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ง่าย ส่งผลให้ผิวหนังบริเวณเท้าเกิดการอักเสบ คัน แดง เปื่อย และลอก ในกรณีที่เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย อาจทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราแทรกซ้อนได้

สาเหตุของโรคเท้าเปื่อย

โรคเท้าเปื่อยเกิดจากปัจจัยหลายประการ ดังนี้

  • ความชื้น น้ำที่สกปรก และแช่น้ำเป็นเวลานาน จะทำให้ผิวหนังบริเวณเท้าอ่อนแอและระคายเคืองได้ง่าย
  • เชื้อโรคและแบคทีเรีย เชื้อโรคและแบคทีเรียที่พบในน้ำที่สกปรก เช่น เชื้อรา แบคทีเรีย และเชื้อไวรัส สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อและอักเสบบริเวณผิวหนังได้
  • โรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง และโรคระบบประสาท ผู้ป่วยโรคเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนปกติ

อาการของโรคเท้าเปื่อย

อาการของโรคเท้าเปื่อยมักเริ่มจากการคันบริเวณซอกนิ้วเท้า จากนั้นผิวหนังจะมีอาการแดง เปื่อย และลอก ในกรณีที่เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย อาจทำให้เกิดอาการบวม แดง ร้อน กดเจ็บ และอาจมีหนองไหลออกมาได้

การรักษาโรคเท้าเปื่อย

การรักษาโรคเท้าเปื่อยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ โดยอาจใช้วิธีรักษาดังนี้

  • รักษาอาการเบื้องต้น เช่น ล้างเท้าให้สะอาดด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ เช็ดเท้าให้แห้ง และทายาแก้คันหรือยาฆ่าเชื้อ
  • รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา โดยอาจใช้ยาทาหรือยารับประทาน
  • รักษาโรคประจำตัวที่อาจทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย

การป้องกันโรคเท้าเปื่อย

การป้องกันโรคเท้าเปื่อยสามารถทำได้ดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการแช่น้ำเป็นเวลานาน
  • สวมรองเท้าและถุงเท้าที่สะอาดและแห้ง
  • ซักและตากถุงเท้าให้แห้งทุกครั้ง
  • รักษาความสะอาดของเท้าเป็นประจำ

โรคเท้าเปื่อยเป็นอาการที่พบได้บ่อยและสามารถรักษาให้หายได้ หากมีอาการควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา

มือชาในคนทำงาน

มือชาในคนทำงาน

อาการมือชาเป็นอาการที่พบได้บ่อยในคนทำงาน โดยเฉพาะคนที่ทำงานที่ต้องใช้มือซ้ำๆ หรือเป็นเวลานาน เช่น พนักงานออฟฟิศ พนักงานโรงงาน พนักงานก่อสร้าง เป็นต้น อาการมือชาอาจเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ เช่น การกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ โรคข้ออักเสบ โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์บกพร่อง เป็นต้น

สาเหตุของมือชาในคนทำงาน

สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการมือชาในคนทำงาน คือ การกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น

  • การใช้มือซ้ำๆ หรือเป็นเวลานาน เช่น การพิมพ์งาน การใช้เมาส์คอมพิวเตอร์ การขับรถ การยกของหนัก เป็นต้น
  • ท่าทางการทำงานที่ไม่ถูกต้อง เช่น การงอข้อมือมากเกินไป การกำมือแน่นเกินไป เป็นต้น
  • น้ำหนักตัวที่มากเกินไป
  • พันธุกรรม

นอกจากนี้ อาการมือชาในคนทำงานอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น

  • โรคข้ออักเสบ เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคข้ออักเสบเก๊าต์
  • โรคเบาหวาน
  • โรคไทรอยด์บกพร่อง
  • โรคหลอดเลือดสมอง
  • เนื้องอกบริเวณข้อมือ

อาการของมือชา

อาการของมือชามักเกิดขึ้นบริเวณนิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง โดยอาจมีอาการชา รู้สึกเสียวซ่า อ่อนแรง หรือหยิบจับสิ่งของไม่ถนัด โดยอาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นเฉพาะเวลาใช้งานมือ หรืออาจเกิดขึ้นตลอดเวลาก็ได้

วิธีป้องกันอาการมือชาในคนทำงาน

วิธีป้องกันอาการมือชาในคนทำงานสามารถทำได้ดังนี้

  • ปรับท่าทางการทำงานให้ถูกต้อง เช่น หลีกเลี่ยงการงอข้อมือมากเกินไป การกำมือแน่นเกินไป เป็นต้น
  • พักมือเป็นระยะๆ เมื่อใช้มือทำงานเป็นเวลานาน
  • ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อบริเวณข้อมือ
  • ลดน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ตรวจสุขภาพประจำปีเป็นประจำ เพื่อตรวจหาสาเหตุของอาการมือชาที่อาจเกิดจากโรคอื่นๆ

การรักษาอาการมือชา

การรักษาอาการมือชาขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ โดยหากเกิดจากสาเหตุที่แก้ไขได้ เช่น การใช้มือซ้ำๆ หรือเป็นเวลานาน การปรับท่าทางการทำงานให้ถูกต้อง เป็นต้น อาการมือชาอาจดีขึ้นได้เองโดยไม่ต้องรักษา แต่ในบางรายที่อาการมือชารุนแรง หรือเกิดจากสาเหตุที่ไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น โรคข้ออักเสบ โรคเบาหวาน เป็นต้น อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีอื่นๆ เช่น

  • การรับประทานยา เช่น ยาลดการอักเสบ ยาคลายกล้ามเนื้อ
  • การกายภาพบำบัด
  • การผ่าตัด

ข้อควรระวัง

หากมีอาการมือชา ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่ถูกต้อง หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจทำให้อาการมือชารุนแรงขึ้น และอาจส่งผลต่อการทำงานของมือได้

ไข้เลือดออกในหน้าหนาว

ไข้เลือดออกในหน้าหนาว

สาเหตุของไข้เลือดออกในหน้าหนาว

สาเหตุของโรคไข้เลือดออกในหน้าหนาว เกิดจากการที่ยุงลายตัวเมียสามารถแพร่พันธุ์ได้แม้ในฤดูหนาว โดยยุงลายตัวเมียสามารถวางไข่ได้แม้ในอุณหภูมิต่ำ เพียงแค่ 20 องศาเซลเซียสเท่านั้น ประกอบกับในฤดูหนาว ปริมาณน้ำฝนจะลดลง ทำให้ภาชนะต่างๆ ที่มีน้ำขังมีจำนวนลดลง ส่งผลให้ยุงลายมีแหล่งเพาะพันธุ์น้อยลง แต่ก็ยังมีโอกาสเกิดการระบาดของโรคไข้เลือดออกได้ เนื่องจากยุงลายสามารถอยู่รอดได้นานหลายสัปดาห์ในสภาพอากาศที่หนาวเย็น

อาการของไข้เลือดออกในหน้าหนาว

อาการของโรคไข้เลือดออกในหน้าหนาว ไม่ได้แตกต่างจากอาการของโรคไข้เลือดออกที่พบในช่วงฤดูฝน โดยอาการจะเริ่มต้นจากการมีไข้สูงเฉียบพลัน 38-40 องศาเซลเซียส ร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ตาแดง อาจมีเลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล หรือเลือดออกตามผิวหนังได้ โดยอาการเหล่านี้จะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 5-7 วัน แต่หากมีอาการรุนแรง เช่น มีไข้สูงเกิน 40 องศาเซลเซียส ปวดท้องรุนแรง อาเจียนเป็นเลือด เลือดออกตามไรฟันมาก หรือมีเลือดออกในอวัยวะต่างๆ ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้

การป้องกันไข้เลือดออกในหน้าหนาว

การป้องกันโรคไข้เลือดออกในหน้าหนาว สามารถทำได้ด้วยการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ซึ่งได้แก่ ภาชนะที่มีน้ำขัง เช่น แจกันดอกไม้ จานรองขาตู้กับข้าว กระถางต้นไม้ ท่อระบายน้ำ เป็นต้น โดยสามารถกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายได้ดังนี้

  • ปิดฝาภาชนะที่มีน้ำขังให้มิดชิด
  • เปลี่ยนน้ำในแจกันดอกไม้หรือภาชนะที่มีน้ำขังทุกสัปดาห์
  • ใส่ทรายอะเบทหรือสารเคมีกำจัดลูกน้ำในภาชนะที่มีน้ำขัง
  • ทำความสะอาดท่อระบายน้ำไม่ให้มีน้ำขัง

นอกจากนี้ ควรหมั่นทายากันยุงหรือฉีดพ่นยากันยุงเพื่อป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด นอกจากนี้ยังควรสวมเสื้อผ้าที่มิดชิดเพื่อป้องกันยุงกัด โดยเฉพาะในช่วงหัวค่ำและรุ่งเช้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยุงลายชุกชุม

การรักษาไข้เลือดออกในหน้าหนาว

การรักษาโรคไข้เลือดออกในหน้าหนาว สามารถทำได้ด้วยการให้ยาลดไข้ ยาแก้ปวด และยาปฏิชีวนะ โดยผู้ป่วยควรพักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำให้มากๆ หากมีอาการรุนแรง เช่น มีไข้สูงเกิน 40 องศาเซลเซียส ปวดท้องรุนแรง อาเจียนเป็นเลือด เลือดออกตามไรฟันมาก หรือมีเลือดออกในอวัยวะต่างๆ ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว

ข้อควรระวังในการรับวัคซีนไข้เลือดออก

ปัจจุบันมีวัคซีนไข้เลือดออกที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในประเทศไทย โดยวัคซีนไข้เลือดออกมี 2 ชนิด คือ

  • วัคซีนเชื้อเป็น (live attenuated vaccine) ผลิตจากเชื้อไวรัสเดงกีสายพันธุ์ 1 2 3 และ 4 ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 4 เข็ม ห่างกัน 2-4 สัปดาห์
  • วัคซีนเชื้อตาย (inactivated vaccine) ผลิตจากเชื้อไวรัสเดงกีสายพันธุ์ 1 2 3 และ 4 ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 3 เข็ม ห่างกัน 4-6 สัปดาห์

วัคซีนไข้เลือดออกสามารถป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ประมาณ 50-80% อย่างไรก็ตาม วัคซีนไข้เลือดออกยังไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อเชื้อไวรัสเดงกีทุกสายพันธุ์ได้ ดังนั้น การป้องกันโรคไข้เลือดออกด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย และการป้องกันไม่ให้ยุงกัด ยังคงมีความสำคัญ

สรุป

แม้ว่าโรคไข้เลือดออกจะพบได้ตลอดทั้งปี แต่ในช่วงฤดูหนาว ก็ยังมีโอกาสเกิดการระบาดของโรคได้เช่นกัน เนื่องจากยุงลายตัวเมียสามารถแพร่พันธุ์ได้แม้ในฤดูหนาว ดังนั้น จึงควรหมั่นกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย และป้องกันไม่ให้ยุงกัด เพื่อลดความเสี่ยงในการติดโรคไข้เลือดออก

วิธีแก้ง่วงขณะขับรถ

วิธีแก้ง่วงขณะขับรถ

การขับรถเป็นกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิและประสาทสัมผัสอย่างสูง หากเกิดอาการง่วงขณะขับรถ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ ดังนั้นจึงควรหาวิธีแก้ง่วงขณะขับรถให้ได้ผล ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้

1. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก่อนเดินทาง

วิธีแก้ง่วงขณะขับรถที่ดีที่สุด คือ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก่อนเดินทางอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า มีสมาธิในการขับรถมากยิ่งขึ้น และควรปรับตารางนอนในชีวิตประจำวันให้ลงตัว เพื่อให้ร่างกายสามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ ติดต่อกัน 3 – 4 วันต่อสัปดาห์ เพื่อป้องกันอาการง่วงเรื้อรัง

2. ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

คาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นที่ช่วยให้ร่างกายตื่นตัวได้ โดยสามารถดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา โกโก้ เป็นต้น ในช่วงเช้าก่อนออกเดินทาง หรือระหว่างขับรถก็ได้ แต่ไม่ควรดื่มมากเกินไป เพราะอาจทำให้ใจสั่น วิตกกังวล และนอนไม่หลับได้

3. เปิดเพลงโปรดไปด้วยระหว่างขับรถ

การฟังเพลงโปรดช่วยกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัวได้ โดยเลือกฟังเพลงที่มีจังหวะเร็ว สนุกสนาน หรือเพลงที่เราชอบฟัง เพราะจะช่วยให้รู้สึกเพลิดเพลิน และลืมความง่วงไปได้

4. หยุดพักขณะขับรถ

การขับรถนานๆ จะทำให้ร่างกายรู้สึกเหนื่อยล้า ง่วงนอน ดังนั้นจึงควรหยุดพักเป็นระยะๆ ทุกๆ 2-3 ชั่วโมง โดยจอดข้างทางที่ปลอดภัย ลุกจากรถไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้า ยืดเส้นยืดสาย หรือหากิจกรรมทำ เช่น เดินเล่น พูดคุยกับผู้อื่น เป็นต้น ประมาณ 10-15 นาที จะช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้น

5. พูดคุยกับผู้อื่นในรถ

การพูดคุยกับผู้อื่นในรถช่วยกระตุ้นให้สมองตื่นตัวได้ โดยเลือกพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่น่าสนใจ หรือเรื่องที่เราถนัด เพราะจะช่วยให้รู้สึกเพลิดเพลิน และลืมความง่วงไปได้

6. ปรับอุณหภูมิในรถให้เหมาะสม

อุณหภูมิในรถที่เย็นเกินไปหรือร้อนเกินไป อาจทำให้รู้สึกง่วงนอน ดังนั้นจึงควรปรับอุณหภูมิในรถให้เหมาะสม โดยไม่ควรเย็นหรือร้อนเกินไป

7. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนขับรถ

แอลกอฮอล์เป็นสารเสพติดที่ส่งผลต่อประสาท ทำให้รู้สึกง่วงนอน ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนขับรถโดยเด็ดขาด

8. หลีกเลี่ยงการขับรถในเวลากลางคืน

การขับรถในเวลากลางคืนอาจทำให้รู้สึกง่วงนอนได้มากกว่าในเวลากลางวัน เนื่องจากมีแสงสว่างน้อยกว่า ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการขับรถในเวลากลางคืน หากจำเป็นต้องขับรถในเวลากลางคืน ควรหาเพื่อนร่วมเดินทาง หรือหยุดพักเป็นระยะๆ

วิธีแก้ง่วงขณะขับรถแบบเฉพาะบุคคล

นอกจากวิธีแก้ง่วงขณะขับรถข้างต้นแล้ว ยังมีวิธีแก้ง่วงขณะขับรถแบบเฉพาะบุคคลที่อาจได้ผลดี เช่น

  • การเคี้ยวหมากฝรั่ง หรืออมลูกอม
  • การดมยาดม
  • การฟังเพลงที่มีจังหวะช้าๆ และผ่อนคลาย
  • การมองวิวข้างทาง
  • การขับรถกับเพื่อนหรือครอบครัว

หากรู้สึกง่วงขณะขับรถ ควรรีบหาวิธีแก้ง่วงทันที อย่าฝืนขับรถต่อไป เพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้